วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อาหารต้องห้ามสำหรับน้องแมว

ช่วงหน้าฝนนี้เจ้าของหลายๆท่านคงเป็นกังวลหลายๆอย่างนะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของผิวหนัง เห็บ หมัด ฉบับที่แล้วทางร้านได้รวบรวมข้อมูลประกอบกับประสบการณ์ของตัวเองนำเสนอการกำจัดเห็บหมัด โดยใช้สมุนไพร ปลอดภัยทั้งสัตว์เลี้ยงและสิ่งแวดล้อม และอีกเรื่องหนึ่งที่หลายๆท่านต้องให้ความสนใจนั่นคือ อาหารที่น้องหมา น้องแมวเรากินทุกๆวันนั้น ทราบไหมค่ะว่า มีประโยชน์หรือโทษอย่างไร ขอบอกว่า ในอาหารหมาแมวบางชนิดหรือวิตามินเองก็ไม่ใช่จะปลอดภัยเสมอไปนะค่ะ เอาละค่ะเข้าเรื่องกันเลย เริ่มจาก

  • หัวหอมและกระเทียม ข่า ตะไคร้ทไม่ควรให้สุนัข แมวรับประทานในปริมาณมาก เพราะมีส่วนประกอบของกำมะถันอยู่มาก เพราะฉะนั้นไม่เหมาะแก่การผสมในอาหารให้กับเจ้าตูบ เนื่องจากว่า สารกำมะถันนี้จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงของเจ้าสุนัข  จะทำให้โรคโลหิตจาง และโรคเลือดไหลไม่หยุดได้

  • กระดูกไก่ ปลา เพราะ กระดูกไก่ ก้างปลา อาจแตกหักระหว่างที่สุนัข แมวขบเคี้ยวสร้างมุมแหลม และความแหลมนี่เองอาจทิ่มแทงทำอันตรายสุนัข แมวของคุณได้ ผู้เลี้ยงหลายคนให้เหตุผลในการให้อาหารเหล่านี้คือต้องการให้แคลเซียมแก่สุนัข แมวซึ่งความจริงแล้วผู้เลี้ยงสามารถให้เม็ดแคลเซียม หรือนมอุ่นๆแทนได้

  • ช็อคโกแล็ต  หลายคนเคยให้ช็อคโกแล็ตกับสัตว์เลี้ยงของท่าน โดยไม่รู้ว่าช็อคโกแล็ตเหล่านี้ส่งผลร้ายต่อสุนัข แมวสาเหตุเพราะช็อคโกแล็ตมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่อว่า theobromine ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ สารพวก caffeine(ซึ่งมีในพวกกาแฟ โกโก้) สาร theobromine นี้เมื่ออยู่ในร่างกายมันจะมีฤทธิ์หลายอย่าง แต่ที่เห็นเด่นๆชัด คือ จะกรตุ้นให้มีการหลั่งสารที่เรียกกันว่า adrenaline ซึ่งสารตัวนี้จะมีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ถ้ากินมากๆอาจถึงขั้นเป็นพิษได้จะทำให้เกิด อาการ อาเจียน ท้องเสีย หายใจถี่ ฉี่บ่อย กระวนกระวาย และในที่สุดก็ถึงตายได้ มีรายงานในสุนัขบอกว่า ในสุนัขที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กก. กินเข้าไปแค่ 400 มก. ก็สามารถแสดงความเป็นพิษได้ การที่สุนัขค่อนข้างจะไวต่อความเป็นพิษของ theobromineนั้นเป็นเพราะว่า ร่างกายของมันไม่สามารถที่จะกำจัด theobromine ออกจากร่างกายได้รวดเร็วเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ตามปกติช็อคโกแลตที่ขายในท้องตลาด ถ้าเป็นแบบหวานจะมี theobromine อยู่ประมาณ 1.5 มก ต่อ ซีซี แต่ถ้าเป็นแบบไม่หวานจะมีประมาณ 13 มก. ต่อ ซีซี

  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ทำให้เกิดอาการได้รับสารพิษมากเกินไป เข้าขั้นโคม่าและตายได้

  • องุ่นและลูกเกด เป็นอันตรายอย่างยิ่งค่ะ ทำให้เกิดผลเสียกับตับ ไต

  • วิตามิน(ของคน)ที่มีธาตุเหล็ก  ทำลายเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหารและเป็นพิษต่อตับและไต

  • ตับหมู ไก่(ในปริมาณมาก) ทำให้เกิดวิตามินเอเป็นพิษ ส่งผลกับกล้ามเนื้อและกระดูก

  • นมและผลิตภัณฑ์จากนมวัว  สุนัขส่วนใหญ่ไม่มีเอนไซม์ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวมากพอ ซึ่งจะทำให้เกิดท้องเสียที่ไม่มีแลคโตส

  • ผลไม้ avocado ใบ, เมล็ด, ผลไม้และเปลือกไม้ที่มีสาร persin ซึ่งอาจทำให้เกิดการอาเจียนและท้องร่วง

  • อาหารแมวบางชนิดจะมีส่วนผสมของโปรตีนสูงเกินไป ทำให้เกิดโรคอ้วน

  • แป้งยีสต์ สามารถผลิตก๊าซในระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดความเจ็บกระเพาะอาหารหรือลำไส้ (ผู้เขียนเคยเห็นในวิตามินบางชนิดค่ะ ขอไม่ระบุชื่อนะค่ะ)
  • บรรดาของเค็มทั้งหลาย หากรับประทานในปริมาณมากอาจนำไปสู่​​ความไม่สมดุลของเกลือแร่

  • ไข่ดิบ มีเอนไซม์ที่เรียกว่า avidin ซึ่งจะเป็นการลดการดูดซึมของไบโอติน (วิตามินบี) นี้สามารถนำไปสู่​​ผิวและผมมีปัญหาขน ไข่ดิบอาจมีเชื้อ Salmonella

  • เนื้อดิบ อาจมีเชื้อแบคทีเรียเช่นเชื้อ Salmonella และ E. coli ซึ่งอาจทำให้เกิดการอาเจียนและท้องร่วง
ที่มา:http://www.kowneawpaipetshop.com/store/article/view/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7-123728-th.html

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การดูแลน้องเหมียวช่องปากอักเสบ

การดูแลน้องเหมียวช่องปากอักเสบ (Cat Magazine)
เรื่อง : ฝ่ายวิชาการโรงพยาบาลสัตว์สายไหม

          โรคช่องปากอักเสบในน้องเหมียวเป็นปัญหาที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในทุกช่วงอายุ สามารถพบได้ทั้งในเพศผู้และเพศเมีย เรียกได้ว่าเป็นอาการยอดฮิตที่พบในน้องแมวเลยก็ว่าได้ นอกจากสัตวแพทย์แล้วเจ้าของเจ้าเหมียวเองก็ดีถือว่าเป็นที่มีบทบาทในการดูและประคับประคองน้องแมวให้ผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้


 สาเหตุของอาการช่องปากอักเสบ

          ภาวะช่องปากอักเสบนั้นมีสาเหตุการเกิดอยู่หลายประการ ได้แก่ เชื้อไวรัส (ไวรัสกลุ่มหวัดแมว ไวรัสเอดส์แมว ไวรัสลิวคีเมีย) แบคทีเรีย (ส่วนใหญ่จะเป็นการติดเชื้อแทรกซ้อนจากภาวะอื่น ๆ มากกว่า) ภาวะโรคทางเมตาบอลิก (เช่น ภาวะไตวายเรื้อรัง ที่มีระดับยูเรียในกระแสเลือดสูง) การแพ้ เนื้องอก และการบาดเจ็บต่าง ๆ (อุบัติเหตุ หรือมีสิ่งแปลกปลอมทำให้เกิดบาดแผล)

          ในกลุ่มอาการที่เรียกว่าเป็นภาวะช่องปากอักเสบ คือ เหงือก เยื่อบุช่องปาก เพดาน ลิ้น หรือช่วงคอหอย ที่มีการอักเสบเกิดขึ้นแรกเริ่มอาจมีเพียงเหงือกอักเสบก่อน ซึ่งในรายที่เป็นรุนแรงมากเนื้อเยื่อต่าง ๆ จะแดง บวม มีการขยาย เกิดเป็นแผลหลุม หรืออาจพัฒนาเป็นเนื้องอก และทำให้เกิดเลือดออกในช่องปากตามมา บางรายอาจเป็นรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือดได้

 สัญญาณอันตราย

          ในระยะแรกที่มีการอักเสบในช่องปากของเจ้าเหมียวนั้น เจ้าของสัตว์อาจยังไม่สังเกตเห็นอาการได้อย่างชัดเจน ในบางครั้งอาการเหล่านี้ก็สามารถหายไปเองได้ในน้องเหมียวที่มีอาการไม่รุนแรง แต่เจ้าของสามารถสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณเตือนภัย เพื่อให้น้องเหมียวแสนรักได้รับการรักษาได้อย่างทันท่งที ซึ่งอาการที่เจ้าของสามารถสังเกตได้ ได้แก่

           น้องเหมียวเริ่มมีกลิ่นปาก

           เกาหน้า

           เจ็บปากระหว่างกินอาหาร

           น้ำลายไหล

           กินอาหารลดลง

           ดม หรือสนใจอาหารแต่ไม่กิน

           ชอบกินอาหรนิ่ม ๆ มากกว่าอาหารเม็ด

           น้ำหนักลดลง

           ซุ่ม หรือแสดงอาการก้าวร้าว

          ไม่ชอบให้จับบริเวณหน้า

           ขนไม่เรียบร้อย เนื่องจากมีการแต่งตัวน้อยลง

           ต่อมน้ำเหลืองช่วงคอขยายใหญ่

           เริ่มมีแผลบริเวณริมฝีปาก มุมปาก หรือช่วงปากต่อจมูก

          หากพบสัญญาณดังกล่าวเตือนภัยถึงอันตรายในช่องปากมาแล้ว ควรพาน้องเหมียวไปพบสัตว์แพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยการรักษาจะทำการแก้ไขจากสาเหตุต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการช่องปากอักเสบตามมา เช่น การให้ยาลดอักเสบ การให้ยาปฏิชีวนะควบคู่ หรือในปัจจุบันมีการรักษาโดยการใช้สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เพื่อเสริมให้อาการเหล่านั้นหายเร็วขึ้น



 ดูแลช่องปาก (เจ้าเหมียว) ด้วยตัวเอง

          เจ้าของน้องเหมียวถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการให้การดูแลเจ้าเหมียวที่บ้านนอกจากเวลาที่ไปพบสัตวแพทย์แล้ว เพราะเจ้าของจำเป็นต้องทำความสะอาดช่องปากอย่างต่อเนื่อง โดยอุปกรณ์ที่ใช้ได้แก่ น้ำเกลือล้างแผลที่มีขายอยู่ตามร้านขายยาทั่วไป สามารถนำมาใช้ล้างช่องปากได้ โดยดูดน้ำเกลือใส่ไซริงค์แล้วฉีดเบา ๆ เข้าไปในช่องปาก ให้ทำการล้างช่องปากเป็นประจำ หรือทุกครั้ง หลังจากที่น้องเหมียวกินอาหาร นอกจากนี้อาจใช้สำลีพันปลายไม้เช็ดเบา ๆ ที่บริเวณกระพุ้งแก้มและซอกฟัน เพื่อเป็นการกำจัดคราบอาหารและน้ำลายให้หมดไป นอกจากนี้ยังสามารถใช้ยาฆ่าเชื้อทา หรือพ่นภายในช่องปาก ตามที่สัตวแพทย์แนะนำ เพื่อทำให้อาการหายเร็วขึ้น ยาที่มีใช้ในปัจจุบัน เช่น ยาม่วง (ซึ่งปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมนัก เพราะจะทำให้ปากเจ้าเหมียวเป็นสีม่วงไปอีกนาน) คลอเฮกซิดีน 2% และสเปรย์นาโนสำหรับใช้ในช่องปาก ซึ่งให้ผลการรักษาที่ค่อนข้างน่าพอใจ

          นอกจากนี้การดูแลเรื่องอาหาร การป้อนยาให้ตรงเวลา และการพาเจ้าเหมียวไปพบคุณหมออย่างต่อเนื่องก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เจ้าเหมียวมีสุขภาพช่องปากที่ดี ซึ่งไม่เพียงจะส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพช่องปากเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมของน้องเหมียวที่คุณรักอีกด้วย

          การดูแลสุขภาพช่องปากไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่เจ้าของแมวหลาย ๆ ท่านหวั่นใจ ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรมราคาแพงเข้ามาช่วย เพียงแค่เจ้าของน้องเหมียวทุก ๆ ท่านใส่ใจสังเกตช่องปากน้องเหมียว สนใจสัญญาณที่เกิดกับช่องปาก คำว่า "เหงือกจำ ฟันลาก่อน" ก็คงจะไม่เกิดขึ้นกับเจ้าตัวยุ่งของเราอย่างแน่นอน


วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การอาบน้ำแมว

พูดกันถึงเรื่องการอาบน้ำแมวนะคะ บางท่านว่าเป็นเรื่องที่ยากและเสี่ยงชีวิตพอสมควร แต่หากเรารู้วิธีที่ถูกต้อง การอาบน้ำให้แมวก็จะเป็นเรื่องที่สนุกพอดู
ขั้นตอนง่ายๆนะคะ.....
1. ดูอารมณ์ของเจ้าเหมียวเราก่อนว่าวันนี้อารมณ์เขาอยู่ในเวอร์ชั่นใหน เช่นมาเล่นกับเรา แบบนี้อาบให้ได้ แต่ถ้าเพิ่งไปทะเลาะกับแมวข้างบ้านมา ขนยังไม่หายพองเลย ใว้เป็นหลังก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด
2. ดูดินฟ้าพยากรณ์ เลือกวันที่อากาศปรอดโปร่ง แดดแรงๆ บรรยากาศแบบนี้เป็นใจให้แมวพร้อมที่จะอาบน้ำ
3. เตรียมน้ำอุ่นๆใว้ในกะละมังหรืออ่างเล็กๆ เน้นย้ำว่าเล็กๆนะครับ เพราะโดยสัญชาติญาณของแมวแท้จริงแล้วไม่ได้กลัวน้ำ แต่กลัวจมน้ำมากกว่า ห้ามจับแมวโยนน้ำเด็ดขาด เพราะครั้งหน้าเมื่อแมวรู้ว่าเราจะจับแมวอาบน้ำ แมวก็จะสู้ตายแบบถวายชีวิตเลย และน้ำอุ่นๆก็จะทำให้แมวไม่ตื่นเต้นเหมือนกับการอาบน้ำเย็น
4. ค่อยๆบรรจงจับแมวลงในกะละมัง หากแมวมีอาการดิ้นให้ยกขาหน้าให้สูง แต่อย่าให้ลอยทั้ง4 ขา เพราะแมวจะตะกายข่วนแขนเราได้ และที่สำคัญอย่าหันแมวเข้าหาตัว อันตรายมากๆครับ เพราะอาจจะทำให้เราเสียโฉมโดยไม่ได้ตั้งใจได้ ให้ค่อยใช้มือวักน้ำรดตัวแมวเบาๆ เมื่อสังเกตุว่าแมวไม่ดิ้นมากค่อยๆหย่อนแมวลงให้น้ำท่วมตัว ใช้แชมพูสำหรับอาบน้ำแมวเทลงบนหลังแมว และเกาขนแมวอย่างแผ่วเบา เมื่อแชมพูทั่วตัวแมวแล้ว ค่อยๆเอาน้ำรดตัวแมว ถึงตอนนี้อาจจะยกแมวออกนอกกะละมังแล้วใช่สายน้ำรดตัวแมวประกอบกับการเกาหลังแมวเพื่อล้างแชมพูออกให้หมดก็ได้ แต่ทุกขั้นตอนต้องทำแบบเบามือที่สุด
5.เมื่อเห็นว่าสะอาดดีแล้ว ให้ใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดขนแมวให้หมาดๆและขังแมวใว้ในห้องก่อน รอจนกระทั่งแมวเลียขนจนแห้ง เมื่อแมวขนแห้งแล้วจะสังเกตุว่าแมวจะมีขนร่วงตามมานิดหน่อย ไม่ต้องตกใจครับ ให้ใช้แปรงหวีขนพวกนั้นออก เท่านี้เราก็จะได้แมวสะอาดๆใว้กอดแล้ว
........ถ้าแมวออกไปข้างนอกแล้วไปคลุกฝุ่นหลังจากอาบน้ำ อย่าเสียใจค่ะ เพราะเป็นนิสัยของแมว ที่ไม่ชอบกลิ่นของแชมพู เพราะแมวถือว่าเป็นกลิ่นที่เหม็น อายเพื่อนๆ แมวจึงพยายามกลบกลิ่นพวกนี้ด้วยการคลุกฝุ่น เราไม่ต้องไปโมโหค่ะ แต่ให้เราอาฆาตแมวใว้ ผ่านไปสัก 1เดือนค่อยจับอาบให้ใหม่ อย่าอาบน้ำให้แมวบ่อยนะคะ เพราะขนจะแห้ง ไม่เงางาม เนื่องจากแชมพูจะไปล้างไขมันที่ผิวหนัง ทำให้ขนแห้ง ที่สำคัญอย่าใช้สบู่หรือแชมพูที่คนใช้ เพราะแมวจะแพ้และทำให้ขนร่วงได้ค่ะ.........
ขอบคุณความรู้ดีดี เดบิตจาก จอนนี่แมวศุภลักษณ์

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตำแยแมว สรรพคุณและประโยชน์ของต้นตำแยแมว 17 ข้อ !

ลักษณะของตำแยแมว

  • ต้นตำแยแมว จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง สูงได้ประมาณ 2 ฟุต แตกกิ่งก้านจากโคนต้น เนื้อภายในอ่อนและไม่แข็งแรง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำและการแยกต้น ชอบขึ้นตามที่ดินเย็นๆ พบขึ้นเป็นวัชพืชตามที่รกร้างทั่วไป และตามที่มีอิฐปูนเก่าๆ ผุๆ[1],[2],[3]
ต้นตำแยแมว
  • ใบตำแยแมว ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก (ใหญ่กว่าใบพุทราเล็กน้อย) ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปมนรี รูปไข่ หรือรูปกลมโต ปลายใบมนหรือแหลมเล็กน้อย โคนใบสอบ ส่วนขอบใบหยักเล็กน้อย แผ่นใบเป็นสีเขียว ด้านบนมีขนขึ้นปกคลุม[1],[2],[3]
ใบตำแยแมว
  • ดอกตำแยแมว ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ รอบๆ ลำต้น ส่วนยอดของช่อดอกเป็นดอกเพศเมีย ลักษณะของดอกจะคล้ายกับใบอ่อนที่มีขนาดเล็ก แต่เมื่อบานเต็มที่แล้วใบอ่อนนี้ก็ยังคงติดอยู่และไม่ร่วง มีใบประดับหยักเป็นซี่ฟัน มีขนปกคลุม แต่ละใบประดับจะหุ้มห่อดอก 2-6 ดอก[1],[2],[3]
ตำแยตัวผู้
ดอกตำแยแมว

สรรพคุณของตำแยแมว

  1. ต้นมีสรรพคุณทำให้อาเจียน (ต้น)[1]
  2. ใช้เป็นยาช่วยขับเสมหะ ขับเสมหะในโรคหลอดลมอักเสบ เสมหะในโรคหอบหืด ด้วยการใช้ใบสดๆ นำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปต้มกับน้ำ 4 ถ้วยแก้ว ให้เหลือเพียง 2 ถ้วยแก้ว ใช้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วย เช้าและเย็น (ต้น,ราก,ใบ,ทั้งต้น)[1],[2],[3]
  3. ช่วยแก้อาการไอ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[3]
  4. ใช้เป็นยารักษาโรคหอบหืด ภูมิแพ้ ด้วยการถอนทั้งต้นและราก นำมาต้มกับน้ำดื่มสัก 1 แก้ว ใช้ดื่มเมื่อมีอาการ แก้วเดียวก็หาย หรือจะนำมาโขลกผสมกับน้ำซาวข้าว กรองใส่ผ้าขาวบางให้ได้น้ำข้นๆ 1 แก้ว แล้วดื่มก็มีสรรพคุณดีเช่นกัน (ทั้งต้น)[5]
  5. ต้น ราก ใบ หรือทั้งต้นหากนำมารับประทานในปริมาณมากจะทำให้คลื่นเหียนอาเจียน และทำให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร (ต้น,ราก,ใบ,ทั้งต้น)[3]
  6. ลำต้นที่อ่อนๆ ใช้เป็นยาล้างเมือกในท้องหรือทำความสะอาดทางเดินอาหาร ด้วยการนำต้นสดทั้งต้นมาคั้นเอาแต่น้ำ ซึ่งน้ำที่ได้นี้จะใช้เป็น purgative (ต้น)[1]
  7. ต้น ราก และใบมีสรรพคุณเป็นยาถ่าย ยาระบาย (ต้น,ราก,ใบ)[1],[3]
  8. ใบใช้เป็นยาขับพยาธิ ขับพยาธิเส้นด้าย ด้วยการนำใบสดมาทำเป็นอาหาร โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ หรือนำมาต้มกิน หรือจะใช้ใบสดนำมาคั้นเอาน้ำผสมกับกระเทียมก็ได้ (ต้น,ใบ)[1],[2],[3]
  9. ต้นหรือใบนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาถอนพิษเมาเบื่อในทางเดินอาหาร (ต้น,ใบ)[1],[2]
  10. ใบใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง ด้วยการใช้ใบสดนำมาตำผสมกับเกลือแกง ใช้ทาบริเวณที่เป็น (ใบ)[1]
  11. ใบแห้งนำมาป่นให้ละเอียดใช้โรยรักษาแผลเนื่องจากนอนมาก (ใบ)[3]
  12. ใบใช้เป็นยาทาแก้โรค rheumatism ได้ (ใบ)[1]
  13. ใบสดนำไปตีหรือฟาดเบาๆ ตามตัวหรือบริเวณที่ถูกพิษคันจากต้นตำแยตัวเมีย จะช่วยทำให้หายจากอาการคันได้ (ใบ)[4]
  14. แพทย์แผนไทยบางพื้นที่จะใช้รากตำยาแมวกะเพียงเล็กน้อย นำมาต้มกับน้ำ 3-4 แก้วจนเดือน ใช้ดื่มก่อนอาหารมื้อไหนก็ได้วันละ 1 แก้ว เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกายให้แข็ง ช่วยกระจายเลือดลม แก้อาการปวดเมื่อย และช่วยทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้นอีกด้วย (ราก)[4]
ข้อควรระวัง : ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้มากจนเกินขนาด เพราะจะทำให้อาเจียน[1],[2] ส่วนต้นและรากมีฤทธิ์ทำให้ช่องทางเดินอาหารเกิดอาการระคายเคืองได้ คนพื้นบ้านจึงนำมาต้มกินเพื่อเป็นยาขับเสมหะ[3]
advertisements

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตำแยแมว

  • ทั้งต้นสดและต้นแห้งจะมีสารจำพวก alkaloid, acalyphine, tannin, vestin, volatile oil แต่ถ้าเป็นวัตถุดิบที่ส่งมาจาทางแอฟริกาใต้ ซึ่งพบรายงานอยู่ใน Petelot reports จาก Remington & Roets พบว่าสามารถที่จะแยกได้สาร Cyanoginitie glucoside, Quibrachitol และ Triacetonamine[1]

ประโยชน์ของตำแยแมว

  1. ใบสดใช้ปรุงเป็นอาหารได้ เช่น แกงเลียง[3]
  2. ทั้งต้นใช้เป็นยาถอนพิษของโรคแมวได้ดี มีผู้ค้นพบว่าในขณะที่แมวไม่สบายหรือมีไข้ หากมันได้เคี้ยวลำต้นของตำแยแมวเข้าไป ไม่นานก็จะหายจากอาการไข้ได้ และในขณะเดียวกันถ้าแมวนั้นกินสารที่มีพิษเข้าไป ก็แก้โดยการให้กินต้นตำแยแมวเข้าไป แล้วมันก็จะอาเจียนหรือสำรอกพิษออกมา จึงเป็นการช่วยถอนพิษในแมวได้ ทำให้มันกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จึงนิยมเรียกตำแยตัวผู้ว่า “ตำแยแมว[1],[3]
  3. ต้นตำแยแมวนี้หากถอนขึ้นมาทั้งราก เมื่อแมวเห็นเข้าก็จะรีบตรงเข้ามากลิ้งเกลือกบนต้นตำแยแมวอย่างเคลิบเคลิ้มและมีความสุขอยู่นานพอควร จากนั้นก็จะกินรากจนหมด ซึ่งสันนิษฐานว่ารากของตำแยแมวน่าจะมีกลิ่นที่ดึงดูดแมวได้เช่นเดียวกับ Pheromone ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่ใช้ดึงดูดเพศตรงข้าม จึงทำให้แมวรู้สึกหลงไหลและเคลิบเคลิ้ม แต่ก็ใช้ว่าแมวทุกตัวจะหลงไปกับกลิ่นของรากตำแยแมว คงมีแมวเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นแล้วอาจจะไม่รู้สึกอะไร เห็นรากตำยาแมวเป็นเพียงต้นไม้ต้นหนึ่งเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีพืชอีกหลายชนิดที่ทำให้แมวเคลิบเคลิ้มและมีความสุขได้เช่นกัน เช่น “กัญชาแมว” หรือใบ “แคตนิป” (Catnip) แต่ต่างกันตรงที่ถ้าเป็นต้นตำแยแมว แมวจะชอบกินราก แต่ถ้าเป็นกัญชาแมว แมวจะชอบกินใบ)[3],[4]
รากตำแยแมว
References
  1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “ตำแยตัวผู้”.  หน้า 313-314.
  2. สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย.  “ตำแยตัวผู้”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com.  [16 ธ.ค. 2014].
  3. YAHOO!.  “ตำแยแมว มันคืออะไร ?”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: th.answers.yahoo.com.  [16 ธ.ค. 2014].
  4. ไทยรัฐออนไลน์.  (นายเกษตร).  “ตำแยแมว คนกินได้”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thairath.co.th.  [16 ธ.ค. 2014].
  5. จำรัส เซ็นนิล.  “โรคหอบหืด-ภูมิแพ้ บำบัดด้วยตำแยแมว”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.jamrat.net.  [16 ธ.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Nelindah, cpmkutty, judymonkey17, Nuraishah Bazilah Affandi)
เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์.คอม

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความเชื่องเรื่องแมวดำ

Black Cat หรือ แมวดำ เป็นสัตว์แห่งความโชคร้ายจริงหรือ? หรือด้วยความที่ขนของมันนั้นมี สีดำ จึงทำให้มนุษย์มองแมวดำไปในลักษณะสัญลักษณ์ของความลึกลับน่ากลัว ปกติแล้ว แมวเป็นสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กที่กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องของมนุษย์ และจัดเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของคนทั่วโลกก็ว่าได้ มีประวัติจารึกถึงมันในฐานะคู่กับสัตว์เลี้ยงคู่กับมนุษย์มานานไม่น้อยกว่า 4,000-8,000 ปีมาแล้ว

             เรื่องราวของแมวมีปรากฎอยู่ในหลาย ๆ วัฒนธรรมของโลก ความเชื่อเรื่องแมวดำนั้นมีทั้งดีและร้าย โดยมีการเชื่อกันว่า แมวดำคือสัตว์แห่งความโชคร้ายแต่อีกมุมหนึ่งก็มีความเชื่อว่ามันคือสัตว์แห่งความโชคดีด้วยเช่นกัน

             ในวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ "แมว" ได้รับการเคารพบูชาอย่างสูง มีการนำมันมาเป็นมัมมี่และฝังร่างไว้ในโลงอันวิจิตรปราณีต อีกทั้งยังได้รับการเชิดชูจากวงศานุวงศ์ขององค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ รวมทั้งบูชาให้เป็นเทวรูปแมวอันลี้ลับ แต่ต่อมาเมื่อโลกเข้าสู่สมัยกลางของยุโรป แมวดำกลับเริ่มถูกตีความให้เป็น "สัญลักษณ์แห่งความโชคร้าย" เพราะมีคำเล่าขานเกี่ยวกับแมวดำไปเกี่ยวข้องกับมนต์ดำและซาตาน อีกทั้งเชื่อกันไปว่า แมวดำเป็นสัตว์อัปมงคลที่มีจิตวิญญาณของเหล่าบรรดาแม่มดที่จะมีชีวิตใหม่หลังถูกกองเพลิงเผาสิงสถิตย์อยู่ 

             ในช่วงสมัยคริสเตียนตอนต้น ก็เชื่อกันว่า "หากมีแมวดำเดินผ่านตัดหน้า มันจะแสดงให้เห็นถึงการปิดกั้นหนทางสู่สวรรค์ของมนุษย์" ดังนั้น พวกมันจึงจะถูกกำจัดและทำลายให้สิ้นซาก จนกระทั่งตราบทุกวันนี้ในอเมริกาและอีกหลาย ๆ ประเทศในยุโรปต่างก็กลัวที่จะเห็นแมวดำ

             อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง ทัศนะเกี่ยวกับแมวดำในทางที่ดีและเป็นมงคลก็มีให้เห็นเช่นกัน เพราะในประเทศอังกฤษ แมวดำจะใช้เป็นเคล็ดป้องกันภัยอันตรายไม่ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะความเชื่อพื้นเมืองชาวประมงแถบชายฝั่งทะเล เหล่าภรรยาชาวประมงจะนิยมเลี้ยงแมวดำไว้ในบ้าน เพราะเชื่อกันว่า การเลี้ยงดูแมวดำเป็นเคล็ดที่จะช่วยคุ้มครองให้สามีของพวกนางปลอดภัยจากการเดินทางกลางท้องทะเล เช่นเดียวกับในประเทศสก็อตแลนด์ก็เชื่อกันว่า หากพบเห็นแมวดำเดินผ่านข้ามทางเข้าประตูเมื่อใด เมื่อนั้นความร่ำรวยมั่งคั่งก็จะมาเยือนถึงหน้าบ้านของท่านทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งในอังกฤษและประเทศญี่ปุ่น แมวดำต่างก็ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์มงคลสำหรับสิ่งดี ๆ ที่จะมาถึงอีกด้วย

             สำหรับการปฎิบัติเมื่อพบเจอแมวดำหากเชื่อว่ามันนำโชคร้ายมาให้ ก็แล้วแต่ว่าคนในสังคมหรือท้องถิ่นนั้น ๆ จะเชื่อถือกันอย่างไร เช่น ในรัสเซียเชื่อกันว่าหากแมวดำเดินผ่านตัดหน้าคุณให้รีบจับกระดุมเสื้อเอาไว้ก็จะเป็นการแก้เคล็ดช่วยคุ้มครองให้พ้นเคราะห์ บ้างก็เชื่อว่าหากพบแมวดำเดินผ่านทางข้างหน้า ให้คุณเดินถอยหลังไป 12 ก้าว ก็จะปลอดภัยจากเคราะห์ร้าย แต่ก็มีบางที่แนะว่า เมื่อพบแมวดำ ณ ที่ใด ให้ลูบขนบนตัวมันเบา ๆ สามครั้ง พร้อมทั้งพูดจากับมันด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน มันก็จะนำพาโชคดีมาสู่ตัวคุณเช่นกัน  

             แต่ยังไงก็ตาม หากบ้านไหนที่เลี้ยงแมวดำ อย่างมงายในความเชื่อมากจนทิ้งแมวที่เราเคยเลี้ยงนะคะ เพราะยังไงมันก็มีมีชีวิตจิตใจความผูกพันกับเรา และมันก็ไม่ผิดเลยที่เกิดมาตัวดำแบบนั้น บางทีมันอาจจะนำความโชคดีมาให้คุณก็ได้ ใครจะรู้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.petloveshack.com/hallow.html

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พิธีกรรมแห่นางแมว

การแห่นางแมวเป็นพิธีอ้อนวอนขอฝน ซึ่งจำจัดทำขึ้นในปีใดที่ท้องถิ่นแห่งแล้งฝน ไม่ตกต้องตามฤดูกาล สาเหตุที่ฝนไม่ตก ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า น้ำฝนนั้นเป็นน้ำของเทวดา ดังมีศัพท์บาลีว่า เทโว ซึ่งแปลว่า น้ำฝน เป็นเอกลักษณ์ของความดี ความบริสุทธิ์ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากๆ ควัน และละอองเขม่าน้ำมัน ห่อหุ้มโลกทำให้เป็นภัยแก่มนุษย์ ผู้ที่จะล้างอากาศได้ทำให้ละอองพิษพวกนั้นตกลงดิน ทำให้อากาศสะอาดคือ "เทโว" หรือ "ฝน" นั่นเอง ดังจะเห็นได้จากเมื่อฝนหยุดตกใหม่ๆ อากาศจะสดชื่น ระงมไปด้วยเสียงของกบ เขียด
ความเชื่อ การแห่นางแมวภาคอิสาน
พิธีแห่นางแมวของชาวอีสานเพราะเชื่อว่าเหตุที่ฝนไม่ตกมีเหตุผลหลายประการ เช่น เกิดจากดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง,ประชาชนชาวเมืองหย่อนในศีลธรรม, เจ้าเมืองหรือเจ้าแผ่นดิน ไม่ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม เป็นต้น ดังนั้น ถ้ามนุษย์อยากให้เทวะคือน้ำฝนที่ดีไม่ใช่ดีเปรสชั่น มาเยี่ยมตามกาลเวลา มนุษย์ก็ควรตั้งอยู่ในศีลในธรรม เพราะคนที่มีศีลมีธรรมท่านจึงเรียกว่า "เทวะ" ทั้งๆ ที่เป็นคน เพราะเหตุดังกล่าวมานี้ เทวะคือฝน กับเทวะคือคนผู้มีคุณธรรม ย่อมจะมาหากันเพราะเป็นเล่ากอแห่งเทวะด้วยกัน เหมือนพระย่อมไปพักกับพระเป็นต้น เหตุนี้ชาวเมือง ชาวอีสานจึงต้องทำพิธีอ้อนวอนขอฝน และการที่ต้องใช้แมวเป็นตัวประกอบสำคัญในการขอฝน เพราะเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่เกลียดฝน ถ้าฝนตกครั้งใดแมวจะร้องทันที ชาวอีสานจึงถือเอาเคล็ดที่แมวร้องในเวลาฝนตกว่า จะเป็นเหตุให้ฝนตกจริงๆ ชาวบ้านจึงร่วมมือกันสาดน้ำและทำให้แมวร้องมากที่สุดจึงจะเป็นผลดี และชาวอีสานเชื่อว่าหลังจากทำพิธีแห่นางแมวแล้วฝนจะตกลงมาตามคำอ้อนวอน และตามคำเซิ้งของนางแมว
นอกจากแมวจะเข้ามาเกี่ยวข้องในพิธีเกิดและพิธีแต่งงานในวัฒนธรรมไทยแล้ว แมวยังเข้ามามีส่วนร่วมในอีกประเพณีสำคัญของไทยที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน นั่นคือ พิธีแห่นางแมวขอฝน คนไทยในสมัยก่อนเชื่อว่า แมวเป็นสัตว์ที่มีอำนาจลึกลับศักดิ์สิทธิ์ สามารถเรียกฝนให้ตกลงมาได้ และเมื่อถึงฤดูฝน หากฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล

ชาวไทยโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้น้ำในการเกษตรกรรมจะต้องนำนางแมว (แมวตัวเมีย) โดยคัดเลือกแมวไทยพันธุ์สีสวาด (คนไทยโบราณเรียก แมวมาเลศตามภาพ) ตัวที่มีรูปร่างปราดเปรียว สวยงามตั้งแต่ 1-3 ตัว นำนางแมวมาใส่กระบุงหรือตะกร้าหรือเข่งก็ได้ สาเหตุที่ต้องเลือกแมวพันธุ์นี้เพราะเชื่อว่า สีขนแมวเป็นสีเดียวกับเมฆ จะทำให้เกิดฝนตกได้ แต่บางแห่งก็ใช้แมวดำ
ก่อนที่จะนำนางแมวเข้ากระบุง คนที่เป็นผู้อาวุโสที่สุด จะพูดกับนางแมวว่า "นางแมวเอย …ขอฟ้าขอฝน ให้ตกลงมาด้วยนะ" พอหย่อนนางแมวลงกระบุงแล้ว ก็ยกกระบุงนั้นสอดคานหามหัวท้าย จะปิดหรือเปิดฝากระบุงก็ได้ แต่ถ้าปิดต้องให้นางแมวโดนน้ำกระเซ็นใส่ ตอนที่สาดน้ำด้วยจะต้องถูกต้องตามหลักประเพณี

ผู้หญิงที่เข้าร่วมในพิธีแห่ จะผัดหน้าขาว ทัดดอกไม้สดดอกโตๆ ขบวนแห่จะร้องรำทำเพลงที่สนุกสนานเฮฮา เมื่อขบวนแห่ถึงบ้านไหน แต่ละบ้านจะต้องออกมาต้อนรับอย่างเต็มที่ เพราะเกรงว่าแมวจะโกรธ และจะบันดาลไม่ให้ฝนตกลงมา และมีความเชื่อว่า ถ้าแห่นางแมวแล้วฝนจะตก ภายใน 3 วันหรือ 7 วัน นอกจากนี้ พิธีแห่นางแมวขอฝน จะเป็นการช่วยเรียกให้ฝนตกแล้ว ยังถือว่าพิธีนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนในหมู่บ้านให้แน่นแฟ้นขึ้น เนื่องจากจะต้องมีการช่วยเหลือกันในการประกอบพิธีอีกด้วย
องค์ประกอบที่ใช้ในพิธีแห่นางแมว
  1. กะทอหรือเข่ง หรือกระบุง ที่มีฝาปิดข้างบน 1 อัน
  2. แมวสีดำตัวเมีย 1-3 ตัว
  3. เทียน 5 คู่
  4. ดอกไม้ 5 คู่
  5. ไม่สำหรับสอดกะทอให้คนหาม 1 อัน
วิธีแห่นางแมว
  1. ชาวบ้านรวมทั้งคนแก่คนหนุ่มและเด็กส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ปรึกษาหารือกัน คนที่เป็นผู้นำกล่าวเซิ้งเพื่อให้ผู้ไปแห่ทั้งหมดเป็นผู้ว่าตาม ส่วนใหญ่จะเป็นคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน
  2. หากะทอใบหนึ่งหรืออาจใช้เข่ง หรือกระบุงก็ได้
  3. จับเอาแมวตัวเมียสีดำ หรือแมวไทยพันธุ์สีสวาด (คนไทยโบราณเรียก แมวมาเลศ)  1 ตัวใส่ในกะทอ  ใช้เชือกผูกปิดปากะทอไม่ให้แมวออกได้ และใช้ไม้สอดกะทอให้คนหา 2 คน ตั้งคายด้วยขันธ์ ห้า ป่าวสักเคเทวดา เพื่อให้เทวดาบันดาลให้ฝนตก
  4. ได้เวลาพลบค่ำผู้คนกำลังอยู่บ้าน ก็เริ่มขบวนแห่โดยหากะทอแมวออกข้างหน้า แล้วตามด้วยคนว่าคำเซิ้ง และผู้แห่ว่าตามเป็นท่อนๆ ไป ในขบวนก็จะมีการตีเกราะเคาะไม้เพื่อให้เกิดจังหวะตามไปด้วย และแห่ไปทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านนั้นๆ เมื่อแห่ไปถึงบ้านใครเจ้าของบ้านก็ต้องเอาน้ำสาด
    หรือรดที่ตัวแมวให้เปียกและทำให้แมวร้อง และสาดใส่ขบวนเซิ้งด้วย ประเพณีบางบ้านก็สาดใส่ขบวนเฉยๆ โดยไม่ให้ถูกแมว เพราะปรากฏว่าเซิ้งหนักๆ เข้า แมวตายวันละตัว
แห่นางแมว อิสาน อีกแบบหนึ่ง
ให้เอาแมวมา 1 ตัว ใส่ในกระทอ มีคนหามตั้งคายขัน 5 หามประกอบพิธีป่าวสัคเค เทวาเชิญเทวดาลงมาบอกกล่าวขอน้ำฝนกับเทวดาว่า จะขอฝนด้วยการใช้พิธีแห่นางแมว แล้วสั่งให้พวกหามแมวแห่เซิ้งไปตามถนนในหมู่บ้าน มีคนทั้งชาย หญิง และเด็กเดินถือดอกไม้ตามไปถึงเรือนหลังไหน คนในเรือนหลังนั้นก็เอาน้ำสาดมาใส่ทั้งแมวและคน เล่นเอาทั้งแมวทั้งคนหนาวไปตามๆ กัน ในบางแห่งจะมีการผูกเอวคนหัวล้าน 2 คน ทำฮึดฮัดจะชนกันตามกระบวนไปด้วย บางจุดก็หยุดให้หัวล้านชนกัน สลับคำเซิ้งชาวก็บ้านจะเอาน้ำรดแสดงไปเรื่อยๆ
จะเซิ้งอย่างนี้เริ่มจาก 3 โมงเย็นจนถึง 2 ทุ่ม หรือรอบหมู่บ้านแล้วหยุด พอหยุดไม่นานฝนก็จะตกฟ้าแลบฟ้าร้องฟ้าผ่าตามมา
คำเซิ้ง
แต่ละท้องถิ่นไม่ค่อยเหมือนกัน แต่สิ่งที่รวมอยู่ในคำเซิ้งคือมีการพรรณนาถึงความแห้งแล้งและขอให้ฝนตกเหมือนกัน และเท่าที่ประมวลมาส่วนใหญ่จะเป็นดังนี้

ที่มา:http://orawan123.blogspot.com/2013/02/blog-post.html

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข้อเท็จจริงเรื่องแมวตาเพชร

ข่าวแมวตาเพชรในบ้านเรา มีให้เห็นและฮือฮาอยู่เป็นระยะ ๆ บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก ในขณะที่บางคนมีความเชื่อว่า ตาของแมวที่มีสีแปลกตา คือ เพชรตาแมว หากได้ครอบครอง จะทำให้เกิดโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา ถึงขั้นยอมเสียเงินเสียทองเพื่อที่จะได้ครอบครองแมวตาเพชร
กรณีข้างต้นต้องถือว่าเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล แต่ในแง่มุมวิทยาศาสตร์ รองศาสตราจารย์นายสัตวแพทย์ปานเทพ รัตนากร คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายกรณีแมวตาเพชร ว่า เรื่องนี้ได้มีการอธิบายไปหลายครั้งแล้ว ว่า แมวมีความผิดปกติ แมวป่วย ตาของแมวเป็นต้อ ไม่ได้มีความพิเศษอะไร ตรงกันข้ามแมวกลับน่าสงสารด้วยซ้ำ
ความผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นที่เลนส์ตาแมวซึ่งเป็นต้อ จึงมีลักษณะสีขุ่นมัวและมีประกายออกมา ดังนั้นความเชื่อที่ว่าแมวตาเพชรควรเลิกกันได้แล้ว ไม่่ใช่หลงเชื่องมงาย
อยากให้ความรู้ว่า ความผิดปกติดังกล่าวพบได้เป็นระยะ ๆ โดยแมวเป็นต้ออาจพบได้ตั้งแต่แมวอายุยังน้อย ๆ หรือ อาจจะพบภายหลังจากที่แมวโตขึ้น ซึ่งการที่แมวเป็นต้อ เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นควรรีบพาแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อรักษาจะดีกว่า
เพราะหากปล่อยไว้ พอถึงระยะหนึ่งแมวอาจมีความทรมาน เจ็บปวดบริเวณดวงตา การที่แมวเป็นต้อไม่สามารถมองเห็นได้ อาจทำให้แมวเกิดอุบัติเหตุ หาอาหารกินไม่ได้ หากปล่อยไว้อาจมีการอักเสบ ลุกลาม เจ็บปวด ดังนั้นควรพาไปพบสัตวแพทย์ ไม่ใช่เก็บไว้อย่างนั้น เพราะบางครั้งแมวป่วยมาก อาจถึงขั้นต้องควักลูกตาทิ้งไป
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดต้องให้สัตวแพทย์ดูแลรักษาโดยตรง เรื่องนี้อยากแนะนำคนที่เป็นเจ้าของแมว รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย เพื่อให้เข้าใจในเรื่องนี้ว่าแมวมีความผิดปกติ แมวป่วย ไม่ได้มีความพิเศษแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามการที่คนไทยยังมีความเชื่อเรื่องแมวตาเพชรอยู่ กรณีนี้ก็คงจะเหมือนกับจิ้งจก 2 หาง สะท้อนให้เห็นถึงการศึกษาของคนในสังคม ซึ่งถ้าหากมีการปฏิรูปการศึกษาให้คนเลิกไหว้จิ้งจก 2 หาง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ดังนั้นหากจะแก้เรื่องนี้ควรแก้ที่ต้นทาง คือ ให้การศึกษาที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ
โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับลูกด้วย เพราะหากมีการให้ความรู้ที่ถูกต้อง แต่คนแวดล้อมยังเชื่ออยู่ ก็อาจทำให้เด็กคล้อยตามได้
สรุปว่า เรื่องแมวตาเพชร คือ แมวป่วยเป็นต้อ ส่วนใครที่ยังมีความเชื่ออยู่ก็คงไม่สามารถไปห้ามได้
ที่มา:http://www.dailynews.co.th/Content/Article/267950/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%A3

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

7 ข้อ เกี่ยวกับ “แมว” ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด

คราวนี้เกี่ยวกับเรื่อง “ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแมว และการดูแลแมว” ซึ่งความผิดพลาดส่วนใหญ่มักเกิดกับกรณีของการเลี้ยงแมวเป็นครั้งแรก โดยที่ไม่ได้ศึกษาให้ดี!!!
1. การตัดสินใจเลี้ยงแมวแบบใจเร็วด่วนได้ ไม่ดูถึงความสามารถในการดูแล แค่เห็นว่าลูกแมวน่ารักแล้วก็เอามาเลี้ยงทันที ทำให้น้องแมวที่น่าสงสารมักจบด้วยการถูกไปปล่อย ไม่ก็ลูกแมวไม่สบายตายไปด้วยความรู้ไม่เท่าถึงการ สำหรับน้องแมวที่โชคดีก็จะได้รับการหาบ้านใหม่ที่เหมาะสมกว่าเก่าให้อยู่
2. ไม่ทำหมันแมว หลายๆ คนจะคิดว่าเป็นการทรมานสัตว์ กว่าจะรู้อีกทีก็ทีลูกแมวที่บ้านเยอะแยะ ไม่สามารถเลี้ยงไหว ดีหน่อยก็หาบ้านใหม่ให้น้องแมว ในบางกรณีน้องแมวก็จะถูกนำไปปล่อยให้เป็นแมวจรจัด
3. เจ้าของแมวไม่ชอบพาน้องแมวไปหาหมอ เพราะ ชอบคิดว่า “หมอเลี้ยงยาน้องแมว” ไม่ก็คิดว่าแค่นี้เองเดี๋ยวก็หาย แต่บางครั้งโรคบางชนิดก็ทำให้แมวเสียชีวิตได้อย่างเฉียบพลันเช่นกัน ฉะนั้นที่สำคัญตรวจพาน้องแมวไปตรวจสุขภาพประจำปีบ้างนะเมี๊ยววว
4. อาหารแมวที่ราคาถูก มักใช้ข้าวโพดเป็นแหล่งโปรตีน แต่แมวโดยธรรมชาติเป็นสัตว์กินเนื้อ และไม่เหมาะกับกินพวกธัญพืช ฉะนั้นคุณเจ้าของแมวทั้งหลายควรดูความเหมาะสมราคาเทียบกับคุณภาพของอาหารแมว เพื่อน้องแมวที่คุณรักมีสุขภาพที่ดี สมบูรณ์ค่ะ
5. การปล่อยแมวออกนอกบ้าน สำหรับในเมืองมีโอกาสที่จะเกิดอันตรายกับตัวแมว หรือแม้ติดโรคร้ายจากข้างนอก การเลี้ยงน้องแมวในบ้านอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับสังคมเมืองในปัจจุบัน แถมเดี๋ยวนี้ยังมีทางเลือกมากมายในการทำให้ที่อยู่ในบ้านเป็นที่น่าอยู่สำหรับแมวด้วยน้า ทั้งน้ำพุแมว อุโมงค์แมว เยอะแยะไปหมดเล๊ยยย
6. ควรรักษาความสะอาดของห้องน้ำแมว หรือกระบะทรายแมว อย่าให้เกิดสกปรกจนเกิดกลิ่น อาจทำให้แมวไม่ชอบ จนเกิดปัญหาถ่ายเรี่ยราด แต่ถ้าหากน้องแมวเกิดฉี่เรี่ยราด โดยที่ห้องน้ำนั้นก็ยังสะอาด ให้สงสัยไว้ว่าแมวของคุณอาจจะมีปัญหากับระบบการขับปัสสาวะ ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน!!!

7. ต้องเข้าใจว่า นิสัยแมวแต่ละตัวไม่เหมือนกัน  น้องแมวจะแสดงออกในแบบฉบับของเค้าเอง เพียงเราให้ความรัก ดูแลเอาใจใส่ รับรองว่าน้องแมวต้องรักเพื่อนๆ แน่นอน แต่จะแสดงออกยังไงก็แล้วแต่น้องแมวนะเมี๊ยววว 

ที่มา:http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=poneak&month=01-2014&date=19&group=7&gblog=46

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีง่ายๆ…..ในการคำนวณอายุแมว

 แมวก็เหมือกับคนเรา เมื่อเวลาผ่านไปก็ทำให้มีอายุที่เพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยยุคสมัยไปเปลี่ยนไปด้วยทำให้คนรักและดูแลเอาใจใส่แมวเป็นพิเศษ  จึงส่งผลทำให้แมวมีอายุที่เพิ่มมากขึ้นแลมีอัตราการตายที่น้อยกว่าสมัยก่อน  ซึ่งถ้าเรารักและดูแลเอาใจใส่และเลี้ยงเขาเป็นอย่างดีรับรองได้ว่าแมวจะมีอายุมากกว่า 10 ปีอย่างแน่นอน  และรู้หรือไหมค่ะว่าแมวบางตัวมีอายุยืนได้ถึง 20 ปีกันเลยทีเดียว  ซึ่งใครหลายคนก็คงอยากจะรู้ว่า แล้วอายุกี่ปีของแมวเท่ากับกี่ปีของคน  แล้วตอนนี้แมวของเรามีอายุเท่าไรแล้ว  วันนี้เรามีคำตอบและวิธีการคำนวณหาอายุของแมวมาฝากกันค่ะ
วิธีในการคำนวณอายุของแมว  เริ่มจาก 1 ขวบแรกหรือ 1  แรกแมวจะเทียบได้กับคนที่มีอายุประมาณ 20 ปีค่ะ  ซึ่งในช่วงอายุ 1 ขวบของแมวนั้น  แมวสามารถที่จะเริ่มสืบพันธุ์และมีลูกได้แล้ว ซึ่งหลายๆ คนอยากให้น้องแมวเป็นเด็กเล็กและน่ารักแบบเด็กตลอดไป   แต่ตามธรรมชาติของการเป็นเด็กของแมวจะอยู่ในช่วงประมาณ 6-7 เดือนและจะมีช่วงอายุของความเป็นผู้ใหญ่ยาวนาน  ซึ่งหลังจากอายุ 1 ขวบของของแมวแล้ว   ทุกๆปีหลังจากนี้ก็จะคำนวณบวกเพิ่มเป็นอายุของคนที่ 4-5 ปี นั่นหมายความว่าเมื่อแมวอายุได้ 2 ขวบ แมวจะมีอายุจะเท่ากับคนเราที่มีอายุ 24 ปี กำลังอยู่ในวัยที่สดใสกันเลยทีเดียว  เมื่อ 3 ขวบก็จะมีอายุเท่ากับ 28 ปี และเมื่อไรที่แมวอายุครบ 10 ขวบ ก็จะเท่ากับคนที่มีอายุ 56 ปีที่อยู่ในวัยกลางคนและใกล้ที่จะเกษียณแล้ว  จากนั้นต่อไปแมวก็จะย่างเข้าสู่วัยชราอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นแล้วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่น้องแมวอยู่กับเรานั้น ให้รักและดูแลเอาใจใส่เขาด้วยนะค่ะ  เพราะเราเลี้ยงเขาแล้ว อย่าปล่อยหรือละเลยเขาเป็นอันขาดเพียงเพราะเขาอายุเยอะเป็นอันขาด  ซึ่งแมวเองก็มีชีวิตจริงใจและความรู้สึกเหมือนกับคนเหมือนกัน
ที่มา:http://www.welikecat.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B2.html

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อุปนิสัย 7 ประการของแมว


อุปนิสัย 7 ประการของแมวที่คุณควรทราบ

ทำไมแมวชอบร้องเหมียวๆ

แมวจะทำเสียง นี้ เมื่อรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เค้าเริ่มรู้จักที่จะสร้างเสียงแบบนี้ ตั้งแต่เป็นลูกแมว ซึ่งจะส่งเสียงนี้ในยามที่ต้องการความอบอุ่นจากแม่แมว และเวลาที่หิวนม ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดจากสมองสั่งการ ให้เกิดเสียงร้องจากการสั่นของกล้ามเนื้อช่องคอนั่นเอง แมวมักจะทำเสียงนี้ในขณะหลับซึ่งคล้ายๆ กับเสียงกรน ครั้งต่อไปหาคุณได้ยินเสียงนี้อีกคุณลองถามเค้าสิว่า เค้าต้องการอะไร


ทำไมแมวจึงรักที่จะนอน

"แมวขี้ เซา" เป็นคำที่ใช้เรียกแมวที่รักการนอนเป็นชีวิตจิตใจ พวกเค้าจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนหลับอย่างน้อย 17 ชั่วโมงาต่อวัน ซึ่งเป็น ลักษณะที่ถ่ายทอดมาจากแมวป่า ที่มักจะไม่ชอบออกล่าเหยื่อ หรือหาอาหารสักเอยู่ร้ท่าไหร่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแมวชอบที่จะนอนมากกว่า เจ้าแมวนอนหวดเอ๋ย


ทำไมแมวจึงชอบที่จะข่วนเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน

พฤติกรรม การข่วนของแมวนั้น เกิดจากเหตุผลหลายอย่าง ประเด็นแรกนั้นการข่วนเป็นการฝนเล็บให้สวยงาม และแมวก็มีความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น อีกทั้งพฤติกรรมนี้ยังเป็นการสร้างอาณาเขตของตัวเอง เพื่อป้องกันผู้บุกรุก
แมว มักจะข่วนเป็นแนวตรงกับเสาหรือต้นไม้ ดังนั้น เราจึงควรจัดเตรียมที่ไว้ให้เป็นสัดส่วน สำหรับการฝนเล็บของแมว โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายไปที่อื่น ถ้าย้ายไปละฮึ่ม....จะข่วนไม่ให้เหลือ....


ทำไมแมวจึงชอบคลอเคลียที่ขาของเรา

แมว มีต่อมกลิ่นทั่วร่างกายเช่น ริมฝีปาก, สีข้าง, หน้าผาก, หาง เป็นต้น กลิ่นจะกระจายติดตามร่างกายของผู้ที่แมวเข้าไปคลอเคลียการแสดงอาการเช่นนี้ของแมวบ่งถึงความต้องการที่จะแสดงความเป็นเจ้าของคุณ หากแมวแสดงพฤติกรรมเช่นนี้กับคุณแล้ว จงภูมิใจได้ว่าเค้ารักคุณ


ทำไมแมวจึงต้องใช้ถาดทรายแมว

เพราะ แมวมักจะถ่ายบนถาดทรายเสมอ ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ดี โดยเป็นสัญชาติญาณในการดำรงชีวิตในป่า เนื่องจากในป่า แมวจะมีพฤติกรรมหลบซ่อนศัตรูที่ไม่ให้ใครพบเห็น ถือเป็นพฤติกรรมที่ถ่ายทอดกันมาอย่าง
ยาวนาน นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมแมวจึงต้องการถาดทรายไว้หลบซ่อนของเสีย อันเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมนี้


ทำไมแมวจึงชอบเลียขน

การเลีย สามารถกำจัดเศษขนที่หลุดล่วงและสิ่งสกปรกต่างๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีการเจริญใหม่ของชั้นผิวหนังและขน ยิ่งกว่านั้นน้ำลายของแมวยังช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายของเค้าด้วย ลูกแมวจะรู้จักการเลียขนตั้งแต่แรกเกิดโดยมีแม่แมวเป็นผู้จัดการสอนเลียขน ให้


"คุณควรตระหนักเสมอว่าแมวมีวิวัฒนาการธรรมชาติมาจากสัตว์ป่า ซึ่งอุปนิสัยเหล่านั้นยังคงอยู่ในร่างกายและจิตใจของแมวจวบจน ทุกวันนี้ คุณจึงควรให้ความรักและเข้าใจแมวของคุณ ร้องเรียกเหมียว... เหมียว... เดี๋ยวก็มา"
ที่มา:http://diaryand.exteen.com/20100517/entry